กองทุน B-INNOTECH
มีนโยบายลงทุนในลงทุนในหน่วยลงทุนของ FIDELITY FUNDS – GLOBAL TECHNOLOGY FUND (กองทุนหลัก) ชนิดหน่วยลงทุน CLASS Y-ACC-USD เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV FIDELITY FUNDS – GLOBAL TECHNOLOGY FUND เป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือบริการ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี
(เลือกดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม)
(โฆษณากองทุน)
กองทุนหลัก (Master Fund)
Fidelity Funds – Global Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class Y-ACC-USD เป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลก ที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์กระบวนการหรือบริการ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี
วัดที่จดทะเบียน: 23 กุมภาพันธ์ 2017 (Share class Y-ACC-USD)
ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก
สกุลเงิน: USD
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI AC World Information Technology (N)
Morningstar Category: Large cap core growth
Bloomberg code: FFGTYAU LX
Fund size: 3,005 Million USD
*ที่มา Fidelity International ข้อมูลเดือนมิถุนายน 2018
ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2018)
***เกณฑ์มาตรฐาน คือ MSCI AC World Information Technology Index (Total Return Net) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อคำนวณผลตอบแทนเป็นสกุลเงินบาท ณ วันที่คำนวณผลตอบแทน
เกณฑ์มาตรฐาน คือ MSCI AC World Information Technology Index (Total Return Net)
ที่มา: ผลการดำเนินงานกองทุน เดือนมิ.ย. 2018, BBLAM
สรุปความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มโกลบอลเทคโนโลยี
หุ้นกลุ่มโกลบอลเทคฯเมื่อวัดจากดัชนี MSCI AC World Information Technology ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนก.ค. (YTD) +8.28% ดัชนีขึ้นไปสร้างผลตอบแทนสูงสุด +12.86% เมื่อวันที่ 25 ก.ค. และหลังจากนั้นพียงวันเดียวลดลงสู่ +8.28% เพราะราคาหุ้นบริษัท Facebook ที่มีน้ำหนักมาเป็นอันดับสามในการคำนวณดัชนีราคาร่วงลงเกินกว่า -20% จนทำให้มูลค่าตลาดของ FB ดลงถึง 120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในระยะเวลาเพียงวันเดียว เหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากผลการดำเนินงานที่บริษัทประกาศออกมาต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์และผู้บริหารแถลงการณ์ว่ารายได้ในไตรมาสสามและสี่จะลดลงเหลือสู่ระดับต่ำกว่า 10% ต่อปี ทั้งนี้ กองทุนหลักของ B-INNOTECH ไม่มีฐานะลงทุน (Exposure) ในหุ้นบริษัท Facebook โดยมีน้ำหนักการลงทุน 0% มาตั้งแต่กลางปี 2017
โดยภาพรวมตั้งแต่ต้นปีหุ้นกลุ่มโกลบอลเทคฯที่ราคาปรับขึ้นมานั้น กลุ่มเทคโนโลยีสัญชาติสหรัฐฯ FAANG (Facebook -2.2%, Apple +62.0%, Amazon +51%, Netflix +75.0%, Google +16.0%) ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสัญชาติจีน BAT (Baidu +5.5%, Alibaba +8.0%, Tencent -12.0%)
สรุปความเคลื่อนไหวของกองทุนหลัก Fidelity Global Technology Fund
ผลการดำเนินงานกองทุนหลักเพิ่มขึ้น +7.6% ในไตรมาสสอง 2Q2018 แต่ยังต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ +9.4% เนื่องจากกองทุนหลักหลีกเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่ (Mega Cap Stock) ที่ขึ้นมาด้วยโมเมนตัม อาทิ Facebook กองทุนเน้นบริษัทคุณภาพที่ได้รับประโยชน์จากทิศทางของเทคโนโลยีใหม่ๆซึ่งมีความน่าสนใจมากกว่าในแง่ของการถือครองสินทรัพย์ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต มีส่วนแบ่งตลาดสูง และมีระดับมูลค่าที่ถูกกว่า อาทิการเข้าถือครองบริษัทในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เช่น NXP Semiconductor ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า EVสัญชาติเนเธอร์แลนด์ การเข้าถือครองบริษัท Universal Display Corporation ผู้ผลิตหน้าจอ OLED ชนิดใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่หน้าจอ LED ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริษัท KLA-Tencor (สหรัฐฯ) ผู้พัฒนาระบบตรวจสอบกระบวนการผลิตของผู้ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ในโรงงานเพื่อรองรับโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory)
ตาราง 1: แสดงจุดแข็งของหุ้นกลุ่มโกลบอลเทคฯที่กองทุนหลักมีการลงทุนเพิ่มในเดือนก.ค.
ชื่อบริษัท | ธุรกิจ | จุดเด่นบริษัท |
NXP Semiconductors | ผลิตเซมิคอนดิกเตอร์ที่ใช้กับยานยนต์ไฟฟ้า ระบบโรงงานอัจฉริยะ และ IoT | 1. มีรายได้กระจายในธุรกิจที่ หลากหลาย |
KLA-Tencor | พัฒนาระบบปฏิบัติการและระบบตรวจสอบการทำงานในอุตสาหกรรม | 1. ยังไม่มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่ 2. บริษัททำธุรกิจผูกขาดจึงเป็นอุปสรรค สำหรับธุรกิจที่จะเข้ามาใหม่ 3. มีอัตรากำไรสุทธิแข็งแกร่ง |
Universal Display Corporation | ผู้พัฒนาเทคโนโลยีและวัสดุด้าน OLED (Organic light-emitting Diode) ที่ใช้กับมือถือ จอแสดงผลแบบใหม่ | 1. เทคโนโลยีหน้าจอกำลังจะเปลี่ยนจาก LCD เป็น OLED จึงเป็นแรงส่งให้กับธุรกิจไปอีก หลายปี |
ที่มา: Fidelity International
ปัจจัยบวกและลบต่อหุ้นในกลุ่มโกลบอลเทคโนโลยีในระยะถัดไป
(+) กระแสการเติบโตด้านเทคโนโลยีไม่ถูกกระทบกระเทือนจากปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้น เงินของบริษัทที่ใช้ไปกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีสูงขึ้นในทุกหมวดอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัทล้วนต้องการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจไปสู่รูปแบบดิจิตอล จึงมีการลงทุนเพิ่มในซอร์ฟแวร์ด้านระบบปฏิบัติการ และ Virtualization ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านซอร์ฟแวร์เทียบกับเงินลงทุนในธุรกิจสูงมากเป็นอันดับต้นๆ เรายังพบอีกว่าธุรกิจในภาคสถาบันการเงินมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการดำเนินธุรกิจมากที่สุด (ร้อยละ 28 ของเงินลงทุนในธุรกิจ) รองลงมาคือค้าปลีก (ร้อยละ 17 ของเงินลงทุนในธุรกิจ) และผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 10 ของเงินลงทุนในธุรกิจ) (ตามกราฟ 1)
กราฟ 1: งบประมาณรายจ่ายด้านไอทีเทียบกับเงินลงทุนของธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ
(+) Digital Disruption ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรม โดยต่างหันมาใช้เทคโนโลยีแบบ Real-time ในการสื่อสาร รวมทั้ง Cloud, Big Data, Robotics, Machine Learning (AI) ที่พบชัดเจนคือการใช้ฟินเทคในภาคธนาคารและการเงิน การใช้หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การใช้อีคอมเมิร์สในภาคค้าปลีก การใช้ยีนบำบัดในภาคเฮลธ์แคร์ การใช้เชลล์ออยล์ในภาคการสำรวจพลังงาน
(+) เทคโนโลยีเป็นหัวใจสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปในอนาคต เชื่อว่าธุรกิจที่สามารถปรับตัวและพัฒนาตัวเองรองรับเทรนด์การบริโภคที่เปลี่ยนแปลงจะมีอัตราการเติบโตสูง สร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้
กราฟ 2: แสดงเทรนด์การบริโภคที่เปลี่ยนแปลงดันยอดขายสินค้าและบริการให้กับธุรกิจใหม่
(+) รายได้ ความสามารถในการทำกำไร ผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ของบริษัทในกลุ่มนี้สูงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นทั่วโลกเมื่อเทียบกับ MSCI AC World Index
(+) ราคาหุ้นสมเหตุสมผล โดยระดับ Valuation ของหุ้นในกลุ่มนี้ซื้อขายเพียง 12 Months FW PE 17.4 x เท่าใกล้เคียงกับช่วงต้นปี 2017 เนื่องจากกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เติบโตสูงระดับ 30% ต่อปี หุ้นจึงอยู่ระดับที่เหมาะสม และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวจากช่วงวิกฤติฟองสบู่ดอทคอมค่อนข้างมาก ประกอบกับบริษัทเหล่านี้มีงบการเงินที่แข็งแกร่งกว่าในอดีต มีผลประกอบการที่ดี พร้อมทั้งมีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจในกลุ่มอื่นๆได้ จึงเป็นปัจจัยส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนี้ให้ยังมีความสนใจในการลงทุนระยะยาว
Update Session with Radhika Surie – Investment Director for FF-Global Technology Fund
ถาม: บริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯอีกทั้งกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐฯกว่าร้อยละ 65 จะส่งผลต่อความผันผวนมากน้อยแค่ไหน
บริษัทในพอร์ตส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่จดทะเบียนในสหรัฐฯซึ่งมีเศรษฐกิจที่ดี อีกทั้งมีรายได้กระจายมาจากความต้องการด้านเทคโนโลยีทั่วโลก จึงไม่กระทบมากนักหากเกิดความผันผวนในตลาดทุนสหรัฐฯ โดยแหล่งที่มาของรายได้มาจาก
- ทวีปอเมริกาเหนือ (34.7%) เช่น สหรัฐฯ แคนาดา
- ตลาดเกิดใหม่ (36.8%) เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย
- ตลาดเอเชียพัฒนาแล้ว (9.8%) เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้
- ตลาดยุโรป (8.5%) เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส
- ตลาดสวิตเซอร์แลนด์ (0.5%) และนอร์เวย์ (0.8%)
ถาม: ธีมด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอะไรบ้าง ที่ Fidelity Global Technology มีสัดส่วนลงทุน ณ ปัจจุบัน
ตอบ: ปัจจุบัน ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกจำนวน 59 บริษัท หากจำแนกตามธีมลงทุนพบมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Big Data 22%, Cloud Computing 21%, Digital Advertising 14%, E-Commerce 12%, Artificial Intelligence 10%, Internet of Things (IoT) 7%, Industry 4.0 ที่ 6%, Autonomous Vehicle 5% และ Virtual Reality 3% กองทุนหลักจะปรับการลงทุนอย่างเหมาะสมเพื่อเน้นเฟ้นหาบริษัทที่จะเป็นผู้ชนะในตลาดหรือที่เรียกว่า “Winners of Tomorrow”
ถาม: ปัจจุบันกองทุนหลัก Overweight หุ้น Sub-Sectors กลุ่มไหน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ตอบ: กองทุนยังมีการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Software และ Internet Company เนื่องจากมองว่าการพัฒนาทางด้าน Software ใหม่ การพัฒนาทางด้าน Artificial Intelligence ที่มีออกมา ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถที่จะนำไปปรับใช้กับการดำเนินงานของบริษัทและช่วยให้สามารถลดต้นทุนของบริษัทลง กระแสของการเติบโตทางด้านเทคโนโลยีส่งผลบวกต่อบริษัทผู้ผลิต Software ต่างๆให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
Overweight หุ้น Sub-Sectors ในกลุ่ม
- Semiconductor & Semi Equipment เช่น Nvidia, Itel, Xilinx (integrated circuits), Lam, Micron
- Internet Retail เช่น Trip, JD.com, Rakuten (e-commerce in Japan)
- Internet Software & Services เช่น – Google, Baidu, Criteo, Grubhub, Linkedin, Twitter
Underweight หุ้น Sub-Sectors ในกลุ่ม
- IT Services เช่น Visa, Mastercard, Accenture เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม มีอัตราการเติบโตช้า
- หุ้นเทคขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ กองทุนหลักชอบหุ้นขนาดกลาง
การที่กองทุนหลัก Overweight หุ้นข้างต้นเนื่องจากบริษัทกลุ่มนี้เติบโตสูงและมีรายได้ที่คาดการณ์ว่าจะได้รับแน่นอน (Recurring Revenue) ในสัดส่วนที่สูง และมีฐานลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นลง ทำให้ราคากองทุนไม่เหวี่ยงขึ้นลง ทนต่อปัจจัยภายนอกได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวน